You are currently viewing กว่าจะจับนายอันวาร์

กว่าจะจับนายอันวาร์

  • Post author:
  • Post last modified:13 พฤษภาคม 2015

19 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 19.00 น.ที่ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมไวท์ชาแนล นายคุลลาเมีย ชาวโรฮิงญา เดินทางมาจากจังหวัดนครศรีธรรม ร้องเรียนกับมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ(มมส.)ให้ช่วยเหลือเรื่องคดีความ นายหน้าเครือข่าย นายอันวาร์ จ.สงขลา หลอกลวง หลายชายตน 2 คน มาจากหมู่บ้าน บูทิดอง รัฐอาระกัน ประเทศพม่า และกักตัวเรียกค่าไถ่ ในแค้มป์ค้ามนุษย์ สวนยางพารา ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ตนทราบข่าวการจับกุมตัวหลานชายจากเครือข่ายของอันวาร์ จึงรีบติดต่อเพื่อขอไถ่ตัว โดยอันวาร์เรียกเงิน 130,000 บาท แต่ตนบอกอันวาร์ว่าตนไม่มีเงินเลยตนเพียงทำอาชีพขายโรตีเท่านั้นเอง

อันวาร์ตอบกลับมาว่าถ้าเช่นนั้นหลานของตนต้องตาย

คุลลาเมียรีบโทรหาเพื่อนๆรวบรวมเงินเพื่อจ่ายค่าไถ่ตัวให้หลาน

ถัดมาประมาณ 2 วัน อันวาร์ได้โทรมาบอกว่าวันนี้จ่ายเงินได้ไหม พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หลานชายพูดและให้คนคุมแคมป์ทุบหลานชาย จนคุลลาเมียได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของหลาน

คุลลาเมียเมื่อได้ยินเสียงร้องของหลานชายจึงรีบบอกอันวาร์กลับไปว่าขาดเงินเพียง 40,000 บาท

อันวาร์ปิดโทรศัพท์เงียบประมาณ 17 วันจึงโทรหาคุลลาเมียว่าหลายยังอยู่นี่นะ

คุลลาเมียได้บอกอันวาร์ว่าเงินให้ไปหมดแล้วนะ มีเลขบัญชีโอนเงินเป็นหลักฐานด้วย บัญชีหนึ่ง 40,000บาท อีก 2 บัญชี บัญชีละ 20,000 บาท และนำหลักฐานไปให้เครือข่ายอันวาร์ดูว่าโอนเงินไปจริง

อันวาร์แจ้งกลับทันทีว่าไม่มีเงินโอนเข้ามาเลย เงินโอนไปไหนไม่เกี่ยวกัน

จากนั้นเมื่อไม่มีความคืบหน้า คุลลาเมียจึงตัดสินใจแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ แสดงหลักฐานการโอนเงินให้เจ้าหน้าที่ดูและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ

เมื่ออันวาร์ทราบข่าวว่าคุลลาเมียแจ้งความ โกรธ และขู่จะทำร้ายหลายคุลลาเมียให้ถึงแก่ชีวิต

ภายหลังจากนั้นคุลลาเมียก็พยายามค้นหาหลานชาย พยายามติดต่อทุกช่องทาง ไม่นาน คุลลาเมียได้ข่าวหลานชายของตนจากชาวโรฮิงญาที่หลบหนีไปฝั่งมาเลเซียได้แจ้ง ว่า กอเซ็มหลานชายตน ถูกตีจนเสียชีวิตแล้ว และอันวาร์ได้โทรศัพท์มายืนยันกับคุลลาเมียไม่ต้องตามหาแล้วหลานตายแล้ว

คุลลาเมียจึงได้ไปแจ้งความกับ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช และ สภ.หาดใหญ่แล้วพร้อมพยานหลักฐานเป็นใบโอนเงินให้นายหน้าค้ามนุษย์ แต่ตนร้อนใจจึงติดต่อไปยัง ฮัจยีอิสมาอีล ล่ามแปลภาษา ประจำมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ขอเข้าร้องเรียน

ทนายฮานีฟ หยงสตาร์ เลขาธิการมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ กล่าวว่ากรณีดังกล่าวนี้ทาง มมส.จะรวบรวมพยานหลักฐาน ช่วยเหลือทางคดีความ เอาผิดกับนายหน้าเหล่านี้ให้ถึงที่สุด

5 มีนาคม 2558 นายอาลี ตัวแทนมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ เดินทางพบนายคุลลาเมีย ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ติดตามสอบถามความคืบหน้าคดี นายคุลลาเมียแจ้งว่ามีตำรวจภูธรภาค 9 เดินทางมาสอบถามที่ตั้งแคมป์ค้ามนุษย์ ตนจึงรวบรวมคนรู้จักที่เคยทำงานอยู่ในแคมป์ได้ 4 คน คือ ตน(คุยลาเมีย) นายรอฟิก นายอิสมาอีล และนายอามัน เดินทางโดยรถตำรวจภูธรภาค 9 ขึ้นไปชี้จุดที่ตั้งแคมป์บริเวณพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อค้นหาศพหลานชาย

29 เมษายน 2558 ร.ต.อ.ไกรกฤต แขกเพ็ง พนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เข้าควบคุมนายอันวาร์ อายุ 40 ปี ชาวโรฮิงญาที่ถูกศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชออกหมายจับกุมในคดีฉ้อโกงมาสอบสวน หลังจาก พ.ต.อ.อนุชนต์ ชามาตย์ รอง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ได้ประสานกับชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรสงขลา เข้าจับกุมตัวไว้ได้เมื่อคืนที่ผ่านมา 28เมษายน 2558

ทั้งนี้สืบเนื่องจากนายคุลลาเมีย ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองนครศรีธรรมราชอย่างถูกกฎหมายเข้าแจ้งความ ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมือง ว่า ถูกอันวาร์ เป็นนายหน้าที่ติดต่อให้ไปไถ่ตัวหลานชายที่เดินทางออกมาจากอาระกัน ประเทศพม่าเข้ามาในเมืองไทย ราคา 95,000บาท แต่ปรากฏว่าไม่ยอมส่งตัวหลานชายให้ทั้งที่จ่ายเงินไปแล้ว จึงได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง

ด้านพ.ต.อ.อนุชน รองผบก.ภ.จว.ภูธรนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากการสืบสวนมีพยานยืนยันว่าเหยื่อเป็นหลานของผู้เสียหายถูกสังหารในพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เพราะไม่พอใจที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความ โดยเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนหาหลุมฝังศพแต่ยังค้นหาไม่พบ และได้สอบสวนขยายผลเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีค้ามนุษย์อีกกระทง

จากการสอบสวนนายอันวาร์ เบื้องต้นให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาผ่านล่าม ที่พนักงานสอบสวนจัดหามาให้ และอยู่ในระหว่างการให้ผู้เสียหายดำเนินการชี้ตัว แม้อันวาร์จะปฏิเสธ แต่ตำรวจมั่นใจ ในพยานหลักฐานคาดว่า จะสามารถดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน

1 พฤษภาคม 2558 กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานที่เกี่ยงข้อง เข้าพื้นที่ตรวจสอบแคมป์กักชาวโรฮิงญา ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ห่างจากสันปันน้ำฝั่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ประมาณ 300 เมตร หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภายในแคมป์ดังกล่าว พบศพผู้เสียชีวิตอยู่ภายในแคมป์จำนวน 1 ราย ศพที่ขุดขึ้นมาจากหลุมจำวน 4 ศพ และพบผู้รอดชีวิต 1 คน

2 พฤษภาคม 2558 เจ้าหน้าที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ทีมข่าวไวท์ชาแนล คนนำทางทั้งชาวโรฮิงญาและชาวบ้านในพื้นที่ เดินทางขึ้นสำรวจอีกด้านหนึ่งของยอดเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ ใช้ระยะเวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชม.ถึงจุดเขตแดนไทยมาเลเซีย สำรวจรอบๆบริเวณเขตแดนรัศมีประมาณ 300 เมตร(ฝั่งมาเลเซีย)พบแคมป์กักกันชาวโรฮิงญาอาศัยได้ประมาณ 600 คน คาดว่าขบวนการค้ามนุษย์ได้เคลื่อนย้ายหลบหนีไปไม่เกิน 1 สัปดาห์ โดยสังเกตจากถ่ายกองไฟ วัตถุดิบในการประกอบอาหาร จากการสำรวจพื้นที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ขบวนการค้ามนุษย์จะอาศัยแคมป์ดังกล่าวข้ามไปข้ามมาระหว่างชายแดนไทย-มาเลย์ เพื่อหลบหลีกสายตาเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝั่ง ตลอดจนเป็นจุดพักเพื่อนำคนส่งต่อยังมาเลเซีย

………………..

พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.)นำเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยจากมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำนวน 200 คน ทำการขุดหลุมที่คาดว่าจะเป็นหลุมฝังศพชาวโรฮิงญา เบื้องต้นพบศพแล้วทั้งหมด 21 ศพ จากหลุมที่ขุดแล้ว 30 หลุม รวมศพที่พบทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1-2 พฤษภาคม 58 รวมจำนวน 26 ศพ บางศพอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย บางศพเหลือแต่โครงกระดูก คาดว่าเสียชีวิตมานานนับเดือน จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เบื้องต้นพบว่าส่วนมากชาวโรฮิงญาที่เสียชีวิต เนื่องจากขาดอาหาร

สำหรับการพบแคมป์กักและหลุมฝังศพชาวโรฮิงยาบนยอดเขานั้น สืบเนื่องมาจากญาติของชาวโรฮิงยา(นายคุลลาเมีย) ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจภูธรภาค 9 ว่า มีญาติ 2 คน ถูกนำตัวมากักที่บริเวณดังกล่าว ชื่อนายรอฟิก กับนายกอเซ็ม ญาติได้ส่งเงินให้กับขบวนการเพื่อไถ่ตัว แต่ปรากฏว่า นายกอเซ็ม ถูกฆ่าตาย ส่วน นายรอฟิก หนีไปได้ ญาติจึงได้เข้ามาแจ้งความต่อตำรวจภาค 9 เพื่อเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งมีการขยายผลตรวจพบแคมป์ที่กักกันและหลุมศพจำนวนมาก

3 พฤษภาคม 2558 ทนายฮานีฟ หยงสตาร์เลขาธิการมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ เดินทางขึ้นไปยังแคมป์กักตัวโรฮิงญา ที่ม.8 บ้านต๊ะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ ใช้ระยะเวลาประมาณ 25 นาที ไม่ไกลนักจากหมู่บ้าน พบแคมป์กักขนาดใหญ่คาดจุคนได้ มากกว่า 600 คน มีระบบน้ำ ระบบไฟพร้อม ดูจากลักษณะการตั้งแคมป์ผู้ที่ออกแบบจัดวางระบบระเบียบ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์อย่างดี

ทนายฮานีฟตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเป็นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากมีการชุมนุมกันตรงไหนพื้นที่ไหน เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจสอบทันที แต่ทำไมพื้นที่จ.สงขลา จึงปล่อยให้ขบวนการค้ามนุษย์ตั้งแคมป์กักขนาดใหญ่ได้

…………………..

หลังจากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. อ.อาลี อารีฟและมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ๊งนำศพชาวโรฮิงยาจำนวน 20ศพ( ในจำนวนนี้เป็นชาย 19 ศพและหญิง 1 ศพ )มาละหมาดญะนาซะห์ ที่มัสยิดท่าไทร จ.สงขลา มีผู้ร่วมละหมาดประมาณ 20 คน

4 พฤษภาคม 2558 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ลงพื้นที่ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีพบแคมป์กักและหลุมฝังศพชาวโรฮิ งยา ในพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับไปแล้ว 8 คน จับกุมได้แล้ว 4 คน เป็นคนไทย 3 คน และชาวพม่า 1 คน เหตุดังกล่าวทำให้มีการโยกย้ายนายตำรวจระดับสูงหลายตำแหน่งในพื้นที่ จ.สงขลาและจ.สตูลด้วย

ช่วงบ่ายทนายฮานีฟ หยงสตาร์เลขาธิการมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ เดินทางจาก จังหวัดสงจลา สู่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พูดคุยกับคุลลาเมีย และ รอฟิก (เหยื่อค้ามนุษย์ถูกอันวาร์จับตัวมาสองรอบรอบแรกเรียกเงิน 40,000 บาท ปล่อยตัวไปมาเลย์ ถูกจับกลับมาเรียกค่าไถ่รอบสอง 30,000บาทไม่มีเงินจ่าย อันวาร์จึงให้มาช่วยงานมีหน้าที่ทำอาหาร ขนส่งเสบียงไปยังแคมป์ต่างๆ พยานคนสำคัญที่ขยายผลจนสามารถจับกุมตัวนายอันวาร์ (พ่อค้ามนุษย์รายใหญ่คนหนึ่ง) ได้สำเร็จ จากการพูดคุยพบข้อมูลหลักฐานสำคัญในการคุมแคมป์กักชาวโรฮิงญา การขนอาหาร ส่งเสบียง ขั้นตอนการทำร้ายร่างกาย โดยหลายวิธี เช่น มีทั้งใช้หวายตี ใช้ไม้ทุบ ใช้หินห่อผ้าทุบบริเวณหน้าอก(จนเสียชีวิต) เป็นต้น ขณะที่การฝังศพชาวโรฮิงญาที่เสียชีวิต บางรายละหมาด บางรายไม่ละหมาด นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลผู้ร่วมขบวนการในพื้นที่บ้านต๊ะโล๊ะเพิ่มเติม ว่า ชาวบ้านมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการด้วย ทั้งการส่งสัญญานเตือนหากมีเจ้าหน้าที่เข้ามาบริเวณดังกล่าว

………………

นายรอฟิกยังบอกเล่าถึงการเคลื่อนย้ายชาวโรฮิงญาระหว่างแคมป์ต่อแคมป์ใน ไทยไปมาเลย์ และบอกเล่าชีวิตระหว่างการเดินทางจากพม่าสู่ไทยไปมาเลย์ ว่า เรือลำหนึ่งที่ตนขึ้นมาแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นที่อยู่ของผู้คุมเรืออยู่ ชั้นกลาง ผู้หญิง และเด็กนั่ง ชั้นสุดท้ายเป็นของผู้ชายนั่ง รอฟิกบอกต่อว่าขณะเดินทางจากพม่า หญิงสาวโรฮิงญาที่นั่งมาชั้นกลางของเรือ มักจะถูกผู้คุมลงมาบังคับให้หลับนอนด้วยเป็นประจำ(ข่มขืน) หากชายชาวโรฮิงญาที่นั่งมาชั้นล่างแอบมอง หรือส่งเสียงรบกวนก็จะถูกเชือดคอโยนทิ้งลงทะเลไป

ต่อมาเมื่อชาวโรฮิงญาขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้วที่จ.ระนอง ขบวนการค้ามนุษย์จะพาเดินทางมุ่งหน้าสู่แคมป์กักบนเขาแก้ว บ้านต๊ะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ ผู้คุมจะนำมาแยกเป็นกลุ่มๆจัดเข้าที่กักกัน ถือเป็นการเริ่มต้นขบวนการรีดไถ่เงินจากบรรดาญาติๆของเหยื่อ ใครมีเงินจ่ายไวได้ออกก่อน และมีสิทธิละหมาดได้ ณ ห้องละหมาด ที่ถูกจัดสร้างขึ้นบริเวณตรงกลางของแคมป์กัก หากญาติใครจ่ายเงินล่าช้าหรือแจ้งความกับตำรวจก็จะถูกกระทำอย่างเช่นกรณีของ หลานชายนายคุลลาเมีย กอเซ็ม( ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จากประเทศพม่า เรียก ฮาชิม )

นอกจากนี้เรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องที่รอฟิกเล่าให้ฟังคือ บรรดาหญิงสาวชาวโรฮิงญา จะถูกเรียกตัวไปหลับนอนกับคนคุมแคมป์สลับหมุนเวียนกันไปวันต่อวัน ผู้คุม 1 คนต่อหญิงสาว 1 คน หญิงคนใดขัดขืนหรือส่งเสียโวยวายไม่ยอมหลับนอนด้วย จะถูกผู้คุมช่วยกันรุมบังคับขืนใจ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหญิงตั้งครรภ์ที่คลอดลูกในแคมป์ ส่วนมากแม่จะเสียชีวิต ส่วนเด็กที่คลอดออกมาจะมีคนมารับไปดูแลต่อ

การเคลื่อนย้ายแคมป์กักชาวโรฮิงญา ของขบวนการค้ามนุษย์ นายรอฟิก ให้ข้อมูลว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นลาดตระเวนเขาฝั่งไทย ผู้คุมได้รับแจ้งจากคนเฝ้าอยู่ด้านล่าง จะดำเนินการเคลื่อนย้ายทันทีโดยข้ามไปยังฝั่งมาเลย์บ้าง หรือบางทีย้ายห่างออกไปจากแคมป์กักเดิมประมาณ 300 เมตร ผู้คุมจะสั่งให้นั่งเงียบห้ามส่งเสียงจนกว่าเจ้าหน้าที่จะกลับออกไป

อย่างไรก็ตามเชคริฎอ อะหมัด สมะดี ประธานมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติยังคงติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการกวาด ล้าง ขยายผลจับกุมนายหน้าขบวนการค้ามนุษย์อย่างใกล้ชิด ทั้งยังให้สาขาต่างๆ ของมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ เช่น จ.ระนอง จ.กระบี่ จ.พังงา จ.สตูล รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสืบหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมก็ตาม หรือใครที่มีข้อมูลมีรายชื่อรู้ตัวบุคคลสามารถแจ้งมายังมูลนิธิฯได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้เชคริฎอ ยังได้ประณามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า การค้ามนุษย์เป็นบาปใหญ่เสมือนไปละเมิดกะอฺบะฮ์(หินดำ) พร้อมเรียกร้องให้กลับตัวสำนึกผิด หันมาให้เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพียงแค่ได้ค่าหัวจากการค้ามนุษย์ไม่กี่หมื่น กี่แสนบาท แต่ทำให้ประเทศชาติเสียหายเป็นหลักพันล้าน ส่วนกรณีนายคุลลาเมีย มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติยินดีให้ความช่วยเหลือด้านคดีความทุกเมื่อ
‪#‎ขุนคมคำ‬