Uncategorized @thโครงการมุสลิมโรฮิงยา

ภารกิจ”ตามรอยโรฮิงญา ส่งเงินช่วยโรฮิงญาในซิตเหว่ “สู้เพื่อสิทธิ”

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ทีมข่าวเดินทางเข้าแค้มป์ชุมชนมุสลิม เป็นวันที่ 2 นำเงินที่ได้รับอนุมัติจากเชคริฎอ อะหมัด สมะดี ประธานมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ 3,600,000 จ๊าตหรือ(100,000บาท) เพื่อช่วยเหลือชาวโรฮิงญา ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจสอบถามข้อมูล พบว่าที่ในแค้มป์ชุมชนโรฮิงญาแห่งนี้ มีมหาวิทยาลัยอิสลามอยู่จำนวน 2 แห่งเป็นรูปแบบอยู่ประจำ สอนท่องจำกุรอาน สอนหะดีษ และฟิกซ์ ต่างประสบปัญหาขาดแคลนอาหารการกิน เนื่องด้วยNGOหรือเครือข่ายของUNที่เข้ามาสร้างแค้มป์และช่วยเหลือชาวโรฮิงญา ส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาช่วยโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยของอิสลาม เว้นเสียแต่NGOมุสลิม เช่น ตุรกี ไทย มาเลเซีย เป็นต้น ทีมข่าวทราบข้อมูลดังกล่าวจึงเดินทางไปมอบเงินบริจาคให้กับครูใหญ่ทั้ง 2 มหาวิทยาลัยเพื่อช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย

ก่อนปี 2012 มุสลิมโรฮิงญาในเมืองซิตเหว่ที่จบชั้น 10 โรงเรียนสามัญทั่วไปจะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยซิตเหว่ หรือมหาวิทยาลัยที่เมืองอื่นได้ แต่หลังจากเหตุการณ์รุนแรงเมื่อปี 2012 เป็นต้นมา รัฐบาลเมียนมาได้แยกมุสลิมออกจากออกจากชาวยะไข่และจำกัดให้มุสลิมอยู่แต่ในพื้นที่ควบคุมห้ามออกไปไหน นักศึกษามุสลิมจำนวนมากจึงไปเรียนในมหาวิทยาลัยซิตเหว่ หรือมหาวิทยาลัยอื่นไม่ได้ มาประมาณ 3 ปีแล้ว ปัจจุบันการศึกษาที่มุสลิมเรียนได้เหลือเพียงโรงเรียนสอนศาสนา มหาวิทยาลัยอิสลาม2แห่ง โรงเรียนสามัญของNGO และโรงเรียนสามัญที่เป็นของรัฐบาล

ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับนายอูจ่อเหล่า อายุ 76 ปีอดีตทนายความ บุคคลที่ชาวโรฮิงญาในแค้มป์ต่างนับถือ เพราะต่อสู้เรื่องสิทธิ การศึกษา และการพัฒนาให้แก่ชาวโรฮิงญา จนถูกจำคุกประมาณ 10 กว่าปีกล่าวถึงอนาคตชาวโรฮิงญาที่แค้มป์นี้ว่า ยังตอบไม่ได้ถึงความเป็นไปในอนาคตว่าชาวโรฮิงญาจะเป็นอย่างไร แม้จะเลือกตั้งเสร็จแล้วก็ตาม ต่อคำถามที่ว่าคิดอย่างไรกับโรฮิงญาที่อพยพออกจากถิ่นฐานบ้านเกินตัวเองไปหางานหาอาชีพที่ประเทศอื่น นายอูจ่อเหล่าตอบชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วย หากชาวโรฮิงญาอพยพไปเป็นจำนวนมากอนาคตรัฐบาลอาจจะเข้ามายึดที่ดินทำกินของพวกเขาไปจนหมดก็ได้ ฉะนั้นแล้วควรอยู่ถิ่นฐานเดิม เมื่อถามถึงสาเหตุที่โรฮิงญาอพยพไปเพราะยากจน ไม่มีงาน ไม่มีอาหารการกินจะทำอย่างไร อูจ่อเหล่าอดีตทนายความแห่งเมืองย่างกุ้ง และอีกหลายคนให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า ถึงจะลำบากหากขยันทำมาหากิน มีหน่วยงานจากต่างประเทศเข้ามาพัฒนาส่งเสริมการงานอาชีพ เชื่อว่าย่อมดีกว่าไปลำบากยังต่างประเทศเสี่ยงเสียชีวิต เสี่ยงติดคุกและพลัดพรากจากครอบครัว

#ขุนคมคำ