กิจกรรมมูลนิธิโครงการมุสลิมโรฮิงยา

ซ่อมบ้านหนูหน่อยนะ

แสงแดดยามเที่ยง สาดส่อง ลอดผ่านช่องว่างของหลังคาบ้าน มากระทบกับใบหน้าหนูน้อยวัยขวบเศษ ที่กำลังหลับกลางวันอย่างแสนสบาย ทำให้หนูน้อยตื่นขึ้นเพราะความร้อน จากดวงอาทิตย์

หลังจากที่วานนี้พวกเรา ผ่านมาพบเห็นสภาพบ้าน ของครอบครัวหนูน้อยคนนี้ หลังคาบ้านเสมือนนำกิ่งไม้มาวางซ้อนกันหลายๆชั้น เพื่อกันแดด ผนังบ้านใช้ไม้ไผ่สานเก่าๆ ยึดติดไว้กับเสาบ้านที่ทำจากต้นไผ่ พื้นที่ภายในบ้านเล็กกว่าเตียงหรูขนาด 6*6 ฟุตของคนในเมืองบ้านเราซะอีก ส่วนห้องครัวอยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน ความสูงของบ้านประมาณ 180 เซ็นติเมตร บ้านนี้ไม่มีห้องน้ำทั้งหญิงชาย ต้องไปขับถ่ายตามพงหญ้ารก อ่อ… ประตูหน้าต่างไม่มีครับ ไม่ต้องกลัวขโมยเข้ามาขโมยของ เพราะภายในไม่มีของมีค่าอะไร มีเพียงผ้าถุงเก่าๆ 2-3 ผืน โสร่ง 2-3 ผืน เสื้อขาดๆและฮิญาบสีขาวที่ปัจจุบันดูหมองจนเกือบจะกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว สามีทำงานรับจ้างทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่มีงานก็ไปหาปลาในแม่น้ำ พอได้ประทังชีวิตไปวันๆ ส่วนภรรยาดูแลลูก 4 คน

บ้านที่มีรูรอบบ้าน ทั้งจากด้านบน ด้านข้าง ด้านหน้า และด้านหลัง พอตกค่ำอากาศก็หนาวเย็น กลางดึกอุณหภูมิลดต่ำ 7-9 องศาเซลเซียส กับผ้าห่มถูกๆ 2 ผืน เด็กๆต้องนอนกอดพ่อแม่รับไออุ่นบรรเทาความหนาวเย็น

นี่คือสภาพความเป็นอยู่จริงของคนจนที่นี่ และไม่เพียงแต่แค่หลังนี้หลังเดียว ยังมีอีกหลายหลังที่มีสภาพไม่ต่างกัน

เชคริฎอ อะหมัด สมะดี ประธานมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ทราบข่าวจากทีมงานโครงการเยียวยาโรฮิงญา ที่ลงพื้นที่ ได้อนุมัติงบก้อนหนึ่งพอที่จะซ่อมแซมบ้านที่ทรุดโทรม และซื้อสิ่งของจำเป็นเพื่อใช้ประทังชีวิต เงินเหล่านี้ ที่ผู้ใจบุญบริจาคมา ได้ช่วยเติมเต็มความอิ่มอกอิ่มใจให้กับผู้ที่ได้พบเห็นที่นี่เป็นยิ่งนัก แต่ที่สุดแสนจะดีใจเห็นจะเป็นครอบครัวหนูน้อย ที่ใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้มและแววตาแห่งความหวัง เริ่มมีขึ้นมาบ้าง

2 กุมภาพันธ์ 2560
แวะมอบเงินซ่อมบ้านที่หมู่บ้านเอ่าง์ได เมืองมินบยา รัฐยะไข่
#ขุนคมคำ