กิจกรรมมูลนิธิปัญหาหิญาบ

เสรีภาพแห่งความเข้าใจ

เรื่องราวที่น่าประทับใจ นี้คือเรื่องของ ด.ญ.ฮามีดะฮ์ อารี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสตรีนนทบุรี ลูกสาวชาวโรฮิงญาที่คุณพ่อคุณแม่อพยพย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานกว่า 30 ปี ครอบครัวฮามีดะฮ์มีพี่น้อง 4 คน ตนเองเป็นคนที่ 2 ฐานะทางบ้านค่อนข้างขัดสน คุณพ่อป่วยเป็นโรคหอบ ทำงานไม่ไหว แม่จึงเป็นกำลังหลักหารายได้ ขายโรตี ที่กระทรวงสาธารณสุข จ. นนทบุรี

สาเหตุที่ด.ญ.ฮามีดะฮ์ อยากคลุมฮิญาบมาโรงเรียนนั้น แรกเริ่มเดิมทีตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 คิดว่าการไม่คลุมฮิญาบไม่บาปอะไร ต่อมาครูที่สอนศาสนาเตือนว่า ฮามีดะฮ์เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 บรรลุศาสนภาวะ(วัยรุ่น)แล้วการไม่คลุมฮิญาบจะเป็นบาปและตกนรก ครูยังบอกอีกว่า ท่านนบีฯบอกว่าในนรกมีแต่ผู้หญิง ส่วนหนึ่งคือการไม่คลุมฮิญาบ จึงเกิดความกลัวบาปยำเกรงอัลลอฮ์ ฉะนั้นจึงมุ่งมั่นตั้งใจว่าต่อไปนี้จะต้องใส่ฮิญาบไปโรงเรียนแม้จะทนร้อน แต่ก็ร้อนเฉพาะโลกมนุษย์ ดีกว่าร้อนในไฟนรก

แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงเกิดความกังวล ว่าโรงเรียนจะอนุญาตให้ใส่ฮิญาบไหม? เพราะไม่เห็นมีใครใส่เลยซักคน ดีที่่ได้ติดต่อกับอ.รังสรรค์(ยะห์ยา )ทองทา ผู้อำนวยการโรงเรียนธรรมิกสลาม ท่านได้เข้ามาเป็นสื่อกลางที่สำคัญยิ่ง ช่วยพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีนนทบุรี ซึ่งท่านผู้อำนวยการก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่าเป็นข้อปฎิบัติทางศาสนา ท่านยังสนับสนุนให้ใส่ฮิญาบมาโรงเรียน และ ยังส่งเสริมให้ทุกศาสนานั้น สมควรจะปฏิบัติตนตามหลักการศาสนาของตนอย่างเคร่งครัด

อิหม่ามสนัน มิสกิจ อิหม่ามประจำมัสยิดรียาดิสสุนันท์ กล่าวว่า ปัญหาเด็กนักเรียนหญิงมุสลิมไม่ได้คลุมฮิญาบไปโรงเรียน จะไปโทษราชการ โทษโรงเรียนทั้งหมดไม่ได้ ต้องโทษคนของเราด้วย ไม่ได้อบรมสั่งสอนปลูกฝังในสิ่งที่ถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นเป็นไปได้ อยากเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนแนะนำให้ออกหนังสือเวียนถึงผู้ปกครองนักเรียนมุสลิมทุกคน ให้แต่งกายให้ถูกต้องตามหลักการศาสนามาโรงเรียน อีกประการที่สำคัญ ในเมื่อมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 แล้วสำนักจุฬาราชมนตรี ควรจะออกหนังสือควบคู่กันไป เพื่อทำความเข้าใจกับโรงเรียนทั่วประเทศ ถึงการแต่งกายที่ถูกต้อง ประชาชนพ่อแม่ผู้ปกครองจะได้มีความรู้ ทั้งกฎหมายของประเทศไทย และกฎหมายของอัลลอฮ์

นายจิรศักดิ์กลิ่นพิบูลย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 3 จ.นนทบุรี กล่าวว่าพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันมานานแล้ว สมัยก่อนเป็นครูอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สอนโรงเรียนอิสลามบำรุง เข้าใจวิถีชีวิตอิสลามเป็นอย่างดี เท่าที่จำได้เกิดกระแสเกลียดกลัวอิสลามมีเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ตอนนี้รู้สึกเบาลงไปแล้ว ดูอย่างที่ สพม.3 มีข้าราชการมุสลิมหลายคนก็อยู่กันได้ไม่มีปัญหาอะไร

ทนายฮานีฟ หยงสตาร์ เลขาธิการมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ กล่าวว่า อ.บุคคอรี อั๊ลการีมี ประธานโครงการครอบครัวยากไร้ ได้รับเรื่องแล้วอยู่ในขั้นพิจารณาช่วยเหลือเป็นทุนทรัพทย์รายเดือนให้
ทั้งนี้เรื่องราวของด.ญ.ฮามีดะฮ์ อารี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีนนทบุรี นับเป็นตัวอย่างที่น่าประทับใจ เป็นตัวอย่างของ “เสรีภาพแห่งความเข้าใจ” โดยแท้จริง
#ขุนคมคำ